วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วาไรตี้ - เรื่องโดนใจ



วาไรตี้ เรื่องโดนใจ
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2011 เวลา 18:39 น.
สำหรับเวลานี้ กับเหตุการณ์ของน้ำท่วมกำลังแผ่ไปทั่วกรุงเทพฯนั้น การทำใจให้คิดบวก คิดในแง่ดี คงเป็นอีกทางเลือกสำหรับในยามคับขันเช้น "น้ำท่วมดีนะจะได้ไม่ร้อน" สำหรับปีนี้ย้อนไปดูพระโคเลือกกินอะไรอะไร น้ำมันถึงเยาะแยะมากมาย เหลือหลาย วันนี้เลยอยากจะน้ำข้อมูลดีดี เกี่ยวกับการคิดบวกมานำเสนอทุกท่าน
การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นในด้านการงาน , อาชีพ หรือครอบครัวนั้น อาจต้องอาศัยมูลเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย เช่น คุณต้องมีความคิด ต้องวางแผน เมื่อคิด หรือวางแผนแล้วต้องลงมือทำตามแผนนั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้ หรือ เมื่อมีโอกาส และคุณเองก็มีความสามารถพร้อมที่จะไขว่คว้าโอกาสนั้น ขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ คุณก็ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น
สำหรับผมคิดว่า การคิดบวก ( Positive Thinking ) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน หลายคนอาจจะมีคำถาม ว่าทำไมการคิดบวกจึงมีส่วนช่วยให้เราประสบความสำเร็จ ตามทัศนะของผมเอง มีความเห็นว่า การคิดบวกในสถานการณ์ต่าง ๆ มักทำให้เราเห็นโอกาสที่แฝงอยู่ในวิกฤตเสมอ ทำให้เราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้ทุก ๆ สถานการณ์ ทำให้เกิดความสบายใจ และเป็นสุข เป็นการเปลี่ยนมุมมองความคิดที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น
“เวลาเราเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ”
หรือ
“เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต”
เป็นต้น

การคิดบวก” เป็นสิ่งที่คนเราสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้ไม่ยากมากนัก แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ก็คือ จะทำอย่างไรให้สามารถที่จะคิดบวกได้ทุกขณะที่เกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆ อันไม่พึงประสงค์ ในชีวิตของเรา เพราะโดยธรรมชาติของคนเราที่ยังฝึกฝนตนเองได้ไม่ดีพอ มักจะคิดไปในทางลบ หรือ ทำลาย มากกว่า ทางบวก หรือ สร้างสรรค์

มีคำกล่าวตามพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ พอจะสรุปได้ความดังนี้

จิตนี้ประภัสสร คือ มีความสะอาด สว่าง และสงบ แต่ที่จิตนี้มีความทุกข์ ความเศร้าหมอง เกิดจากความไม่รู้ในความเป็นจริง และกำลังของสติมีไม่พอ เมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบย่อมเกิดความทุกข์” ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จิตใจของคนเราโดยเนื้อแท้ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ที่คิดไม่ดี เกิดจากความไม่รู้ หรือ ขาดสติ จึงทำให้คิดบวกไม่ทัน ประกอบกับบางคนที่สั่งสมแต่การคิดร้าย ไม่สร้างสรรค์ อันอาจจะเกิดจากการที่ได้รับประสบการณ์ชีวิต การงาน อาชีพที่ผ่านมาไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่อาจที่จะคิดบวกได้ง่าย แล้วจะแก้ไขได้อย่างไรดีล่ะ ? ถ้ายังอยากจะแก้ไขตัวเองอยู่ ผมมีเทคนิคดีๆ ที่น่าสนใจ คือ “การแก้ไขที่จิตใต้สำนึก” เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติแล้วเห็นผลได้จริง
คนเรามักจะไม่ค่อยรู้ หรือ สังเกตความคิดของตนเอง ว่าในขณะที่เรากำลังพูด หรือ สื่อสาร (ในใจ) กับตัวเอง ซึ่งมีเกือบตลอดเวลา หลังจากได้รับข้อมูลผ่านเข้ามา ทั้งจาก ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส และผุดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งมีทั้งความคิดที่ดี หรือไม่ดี สร้างสรรค์ หรือ ทำลาย สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกบันทึกในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ ซึ่งตัวจิตใต้สำนึกของเราไม่สามารถแยกแยะ หรือ เลือกที่จะเก็บความคิดที่ดีเพียงอย่างเดียวได้ เมื่อคุณคิด ( ทั้งดี และไม่ดี ) ก็จะถูกเก็บทั้งหมด เมื่อจิตใต้สำนึกเก็บความคิดที่เป็นลบอยู่เสมอ สิ่งที่จะเกิดผลกระทบตามมาคือ พฤติกรรมคุณก็จะเปลี่ยนไปตามที่คุณคิด ดังคำกล่าวที่ว่า “ความคิด กำหนดพฤติกรรม” เมื่อคุณคิดดี พฤติกรรมที่แสดงออกดีด้วย แต่ถ้าคุณคิดร้าย พฤติกรรมร้าย ๆ ก็จะตามมา เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราลองมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา โดยการเปลี่ยนความคิด ด้วยการป้อนข้อมูลที่เป็นบวกให้กับจิตใต้สำนึกกันดีกว่าครับ
วิธีการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก
1.สิ่งแรกที่สำคัญมากที่สุดในสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ คือ คุณต้องมีศรัทธา หรือ ความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ความคิด หรือ พฤติกรรมของคุณได้ จากการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก หากคุณขาดซึ่งศรัทธา ย่อมจะประสบความล้มเหลว
มีบางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะมีความศรัทธาได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าปฏิบัติแล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ ผมอยากให้เราลองใช้หลัก “กาลามสูตร” อย่าเชื่อทั้งหมด แต่ก็อย่าตัดสินใจปฏิเสธก่อนที่จะนำมาทดลองปฏิบัติ เมื่อเห็นผลแล้วจึงค่อยเชื่อ เมื่อนั้นคุณก็จะเกิดความศรัทธาครับ

2.ทางวิทยาศาสตร์สมอง มีข้อมูลว่า เราสามารถที่จะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเราได้ในขณะที่ยังมีสติอยู่ คือ ช่วงเวลาที่เรามีคลื่นสมองที่มีความถี่ระหว่าง 9 – 13 รอบต่อวินาที หรือที่เรียกว่า ช่วงคลื่นอัลฟ่า ซึ่งจะเป็นช่วงที่เราทำสมาธิ หรือ เป็นช่วงที่เรารู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ เช่น ช่วงที่เราตื่นนอนตอนเช้าใหม่ ๆ หรือ เป็นช่วงที่เราปรับคลื่นสมองโดยการใช้เพลงบรรเลง (โมสาส) ช่วยในการปรับให้สมองมาอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย
คลื่นสมองของคนเราจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามความถี่ของคลื่นดังนี้

2.1 คลื่นเบต้า มีความถี่ 14-30 hertz เป็นคลื่นที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเราตื่นตัว มีการเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ หรือเมื่อเกิดภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เช่น เครียด ,กลัว ฯลฯ

2.2 คลื่นอัลฟ่า มีความถี่ 9-13 hertz คลื่นนี้เป็นคลื่นที่มีความสงบมากขึ้น และเป็นคลื่นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์มาก เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถนำข้อมูลดีดีเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ความทรงจำถาวร หรือเป็นการโปรแกรมสมองใหม่ได้ เป็นช่วงที่เรานำข้อมูลจากจิตสำนึก (Concious) ไปสู่จิตใต้สำนึก ( Subconcious) ด้วยเหตุนี้ศาสตร์แห่งการบำบัดหลายแขนงจึงพยายามหาทางให้มนุษย์สามารถมีคลื่นอัลฟ่าเกิดขึ้น เพื่อเป็นการล้างระบบของเสียๆออกจากฐานข้อมูลภายในแล้วนำข้อมูลดีดี เข้ามาแทน ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจอาจทำสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้

2.3 คลื่นธีต้า มีความถี่ 4-8 hertz เป็นคลื่นสมองที่เกิดตอนเราหลับ หรือทำสมาธิ(เริ่มเข้าฌาน) หรือเมื่อเราตกอยู่ในห้วงสมาธิลึกมากใจจดจ่อจนไม่ได้ยินหรือไม่รับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอก

2.4 คลื่นเดต้า มีความถี่ 1-3 hertz เป็นคลื่นที่เกิดในระหว่างหลับลึก ผ่อนคลาย สงบ

3.เมื่อคลื่นสมองอยู่ในช่วงที่ต้องการแล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความสงบภายในจิตใจ รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย เพื่อที่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลได้ง่ายขึ้น ให้เราเลือกประโยค ข้อความ ที่เราต้องการจะแก้ไข เช่น “ฉันมีความมั่นใจในตัวเอง” หรือ “ฉันเป็นคนที่เรียนเก่ง” (สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจ ในตัวเอง) แล้วพูดกับตัวเองในใจ ซ้ำ ๆ กัน 5- 10 รอบ เป็นประจำทุกๆ วัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเช้า และก่อนเข้านอน

4.จากการวิจัยทางด้านสมองพบว่า คนเราจะเปลี่ยนความคิด หรือ พฤติกรรมได้นั้น เราจะต้องคิด หรือทำสิ่งนั้นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 21 วันขึ้นไป แล้วผลที่เราต้องการจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ( เป็นช่วงระยะเวลาที่สมองได้สร้างเส้นใยมารองรับสิ่งที่เราได้เรียนรู้ )

5.สิ่งที่สำคัญอันดับสองรองลงมา คือ เราจะต้องมีสติ ระลึกรู้ให้เท่าทันจิต รู้จักที่จะจับความคิดภายในตนเองได้ทันเมื่อมีการเคลื่อนไหวความคิดไปในทางลบ ขณะเดียวกันเมื่อเราได้ยินสนทนาในทางลบให้รีบขจัดคำสนทนานั้นๆ ทันที ด้วยคำพูด “หยุด หรือ เลิกคิด” จากนั้นใส่ข้อมูลตรงข้ามที่เป็นบวกแทนที่ เช่น
จาก ฉันทำไม่ได้ (ลบ ) เป็น ฉันทำได้แน่นอน ( บวก ) หรือ
จาก ฉันเป็นคนที่ไม่เอาไหน เป็น ฉันก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง เป็นต้น

เทคนิคเหล่านี้จะเกิดผลดีได้ก็ต่อเมื่อคุณนำมาฝึกฝนตัวเองตลอดเวลาด้วยความมานะ และอดทน ดังคำกล่าวของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “คนเราตั้งใจทำอะไรแล้ว จงอย่าท้อถอย อย่าหยุดทำ ผิดแล้วไม่เป็นไร แก้ไขใหม่ ทำมันเรื่อยไป จนกว่าจะถึงที่หมาย” ขอให้โชคดี และหมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาตน นะครับ

คิดบวก เพื่อให้ชีวิตเรามีคำตอบ และทางออกเพื่อการฝ่าฟันต่ออุปสรรค และปัญหาต่างๆ จากที่ได้อ่านแนวทางที่นำเสนอมานั้น หวังว่าคงพอจะได้ประโยชน์ ได้สาระเพื่อการนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก บริษัท พีเพิล แวลูว์ จำกัด 

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคในการช่วยจำ


เทคนิคในการช่วยความจำ


ความหมายของ "ความจำ" เป็นคำที่ใช้อธิบายวิธีการที่ข้อมูล หรือสิ่งที่เรียนรู้ถูกบันทึก และเก็บไว้ถาวรในความจำระยะยาวและสามารถที่จะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้ ความรู้ที่นักเรียนเรียนรู้แล้วแต่จำไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์ นักเรียนส่วนมากจะไม่มีวิธีการเรียนและวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพ วิธีทั่วๆไป
ที่นักเรียนใช้อยู่เสมอ เช่น การอ่านทบทวนการสรุปและการขีดเส้นใต้ใจความสำคัญนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยความจำ ความจริงแล้วมนุษย์เราได้ค้นพบวิธีช่วยความจำ (Memonic Device) ที่ได้ผลดีมากมานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว เยสท์ ลูเรีย ฮันท์ และเลิฟ (Yates, 1966 Luria, 1968 Hunt and Love, 1972) พบว่า การสอนเทคนิคในการช่วยความจำให้แก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้เก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้ในความทรงจำได้นาน ๆ
เทคนิคช่วยความจำที่ใช้กันอยู่มีทั้งหมด 6 วิธี คือ
(1) การสร้างเสียงสัมผัส
(2) การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ
(3) การสร้างประโยคที่มีความหมายจากอักษรตัวแรกของกลุ่มของที่จะจำ
(4) วิธี Pegword
(5) วิธีโลไซ (Loce)
(6) วิธี Keyword ซึ่งเป็นวิธีที่ใหม่ที่สุด
1. การสร้างเสียงสัมผัส เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีมาก และสิ่งที่จดจำจะอยู่ในความทรงจำเป็นเวลานาน บทเรียนภาษาไทยมีผู้คิดแต่งกลอนที่มีสัมผัสและมีความหมายเพื่อให้จำได้ง่าย เช่น การจำการันใช้ไม้ม้วนและคำที่ขึ้นต้นด้วย " บัน "


2. การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ การสร้างคำเพื่อช่วยความจำวิธีนี้ทำได้โดยการนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำที่จะต้องการจำมาเน้นคำใหม่ที่มีความหมาย เช่น การจำชื่อทะเลสาปที่ใหญ่ทั้งห้าของอเมริกาเหนือสร้างคำว่า Homes ซึ่งหมายถึงทะเลสาป Huron, Ontario, Michigan, Eric, Superior ตามลำดับการท่องจำทิศทั้ง 8 ก็มีผู้คิดว่า ควรจะท่องจำ "อุ-อิ-บุ-อา-ทัก-หอ-ประ-พา" เริ่มจากทิศเหนือแล้ววนขวาตามลำดับ


3. การสร้างประโยคที่ความหมายช่วยความจำ (Acrostic) ตัวอย่างการใช้ประโยคที่มีความหมายสร้างจากอักษรตัวแรกของการจำชื่อ 9 จังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยว่า "ชิดชัยมิลังเลเพียงพบอนงค์" ซึ่งศาสตราจารย์สมุน อมรวิวัฒน์ ได้คิดขึ้น ถ้าถอดคำออกมาจะเป็นชื่อจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปางแพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ น่าน


4. วิธี Pegword เป็นวิธีที่มีประโยชน์สำหรับการท่องจำรายชื่อ สิ่งของหลาย ๆ อย่างที่จะต้องมีลำดับ 1, 2, 3…การใช้จำเป็นจะต้องสร้าง Pegs ขึ้น และท่องจำปกติ มักจะใช้ตัวเลขมีความสัมผัสกับสิ่งของให้มีเสียงสัมผัส(Rhyme)การใช้ก็ต้องใช้จินตนาการช่วยในการจำ การไปซื้อของหลายอย่างอาจจะใช้วิธี Pegword ตัวอย่างเช่น ต้องซื้อของ 7-8 อย่าง อย่างที่หนึ่ง คือ สี อย่างที่สอง คือ ดอกกุหลาบ ฯลฯ ก็อาจจะใช้จิตนาการว่า Bun ลอยอยู่บนป๋องสี เป็นอย่างที่ 1 และดอกกุหลาบโผล่ออกมาที่รองเท้า ประโยชน์ของวิธี Pegword ช่วยความจำ เป็นการช่วยให้ระลึกให้ง่าย และอาจจะระลึกได้ง่ายทั้งลำดับปกติ คือจากหน้าไปหลัง (Foreard) หรือย้อนจากหลังไปหน้า (Backwards)


5.วิธีโลไซ (Loci Method) วิธีโลไซนับว่าเป็นวิธีช่วยความจำที่เก่าแก่ที่สุด คำว่า "Loci" แปลว่า ตำแหน่ง แหล่งที่มาของวิธีโลไซไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีเรื่องนิยายเกี่ยวกับวิธีช่วยความจำโลไซที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีวิธีโลไซเน้นหลักการจำโดยการสร้างมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ต้องการจะจำ โดยใช้สถานที่และตำแหน่งเป็นสิ่งเตือนความจำ (Memory Pegs) เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อราว 450 ปี ก่อนคริสตกาล
วิธีช่วยความจำ โลไซมักจะใช้ช่วยความจำเกี่ยวกับสถานที่ เช่น ห้องต่าง ๆ ในบ้าน อาคารต่าง ๆ ของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือร้านค้าต่าง ๆ บนถนนก็ได้ กฎเกณฑ์พื้นฐานของวิธีช่วยความจำโลไซมีดังต่อไปนี้
1.สถานที่หรือตำแหน่งต่าง ๆ ที่จะเลือกใช้ควรจะอยู่ใกล้กัน
2.จำนวนสถานที่หรือตำแหน่งที่จะใช้ควรจะเป็นจำนวนไม่เกิน 10 แห่ง
3.ควรกำหนดหมายเลขให้แต่ละสถานที่ตามลำดับตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงสถานที่สุดท้าย และควรจะสามารถระลึกได้ทั้งหน้าไปหลังและหลังไปหน้า
4.สถานที่ใช้ควรจะเป็นที่ ๆ คุ้นเคย และผู้ใช้สามารถจะนึกภาพได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นสถานที่ ๆ จะใช้ควรจะมาจากประสบการณ์
5.สถานที่จะใช้เป็นเครื่องช่วยความจำโลไซ ควรจะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างเห็นชัด ผู้ใช้ควร
จะเน้นสิ่งเด่นของแต่ละสถานที่
6.ผู้ใช้จะต้องสามารถที่จะสร้างจินตนาการภาพของลักษณะเดิมของแต่ละสถานที่ได้ เป็นต้นว่าเครื่องแต่งห้องมีลักษณะพิเศษอะไรบ้าง
ในการปฏิบัติ ผู้ที่ประสงค์จะใช้วิธีช่วยความจำโลไซจะต้องนำมาเป็นสิ่งแรกคือ เลือกหาสถานที่ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบตามธรรมชาติ เช่น บ้าน สิ่งแรกคือห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัว เป็นต้น หลังจากนั้นก็นำสิ่งที่คนอยากจะจดจำ อาจจะเป็นสิ่งของเหตุการณ์หรือความคิดก็ได้ พยายามเชื่อมโยงสิ่งที่จะจำกับสถานที่หรือสิ่งของที่ได้ให้หมายเลขไว้ และเมื่อจะระลึกถึงสิ่งที่ต้องการจำก็เริ่มจากหมายเลข 1 เป็นต้นไป
Kla : วิธีนี้เป็นวิธี นักจำแชมป์โลก ส่วนใหญ่ใช้กันอยู่นะครับ   ยกตัวอย่างในการแข่งขัน จดจำตัวเลข โดยจะสุ่มขึ้นมาเช่น  1 3 2 3 5 5  โดยให้เวลาจำทั้งหมด 1 ชั่วโมง และให้เวลาเรียนตัวเลข 2 ชั่วโมง   DR-Gunther จดจำตัวเลขได้ 1949 ตัว โดยสามารถทวนตัวเลขได้อย่างสมบูรณ์แบบ  แถมยังเป็น แชมป์อีก 8 สมัย




6.วิธี Keyword วิธีช่วยความจำที่เรียกว่า Keyword เป็นวิธีใหม่ที่สุด มีผู้เริ่มใช้ เมื่อปี พ.ศ. 2518 แอตคินสัน
หรือผู้ร่วมงาน ขั้นตอนของวิธี Keyword มีเพียง 2 ขั้น คือ
1.พยายามแยกคำภาษาต่างประเทศที่จะเรียน ซึ่งเวลาออกเสียงแล้วคล้ายภาษาไทย นี้คือ Keyword 2.นึกถึงความหมายของคำ Keyword ในภาษาไทยแล้ว แล้วมาหาคำสัมผัสของความหมายของ Keyword ในภาษาไทยตามเสียงที่อ่านและความหมายของคำภาษาต่างประเทศที่จะเรียน
สรุปแม้วิธีช่วยความจำแบบ Keyword ใช้การเรียนคำในภาษาต่างประเทศเป็นการเชื่อมโยงกับความหมายของ
คำกับ Keyword โดยเสียง และเชื่อมโยงกับความหมายของคำในภาษาไทยได้โดยการใช้จินตนาการ ตัวอย่างเช่น คำภาษาอังกฤษ Potato แปลว่า มันฝรั่ง อ่านว่า โพเทโท คำ Keyword ใช้คำว่าโพหรือโพธิ์ ฉะนั้นอาจจะจำคำ
"โพเทโท" โดยนึกวาดภาพคำว่า โพธิ์ และมันฝรั่งตามตา มีใบโพธิ์โผล่ขึ้นมาวิธี Keyword ช่วยในการเรียนเรื่องอื่น ๆ เช่น การจำชื่อเมืองหลวงต่าง ๆ และความสำเร็จของบุคคลต่าง ๆ นักจิตวิทยาได้ทดลองวิจัยเกี่ยวกับการใช้วิธี Keyword ช่วยความจำทั้งในโรงเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยปรากฏว่าได้ผลดีทุกระดับ

สรุปแล้ว เครื่องช่วยความจำ (Memonic Devices) ช่วยให้ผู้เขียนสามารถที่จะเข้ารหัส สิ่งที่เรียนเก็บไว้ในความจำระยะยาว และเวลาที่ต้องการใช้ก็สามารถค้นคืนหรือเรียกมาใช้ได้ง่าย ฉะนั้นการสอนนักเรียนให้ใช้เครื่องช่วยจำจึงมีประโยชน์ เพราะจะได้แก้ความเข้าใจผิดที่ว่า คนจำเก่งเป็นคนที่มีระดับสติปัญญาสูง ถ้านักเรียนได้ทดลองใช้วิธีช่วยความจำในการเรียนขึ้นและสนุกในการที่จะค้นคืนวิธีที่จดจำสิ่งที่เรียกได้ดี เวลาสอบก็จะทำคะแนนได้ดีขึ้น
วัตถุประสงค์ของการศึกษาโดยทั่วไปแล้ว ไม่แต่เพียงว่าให้นักเรียนสามารถที่จะระลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้แล้วเท่านั้นแต่จะต้องให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์และรวบรวมสิ่งที่เรียนให้เป็นหมวดหมู่ และสามารถที่จะประเมินสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วย การสอนวิธีช่วยความจำ เพื่อช่วยให้นักเรียนระลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้เท่านั้น จึงยังไม่พอ นักจิตวิทยาได้ค้นหาวิธีที่จะช่วยนักเรียนจดจำได้นาน ๆ โดยใช้วิธีที่เรียกว่า TACE (Topic, Area,Characteristic และ Example) และ วิธี Loci ผสมกัน
2.ยุทธศาสตร์การเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ วิธีเรียนรู้ที่ช่วยความจำด้วยวิธีนี้ ประกอบ ด้วย 2 ส่วน
1. การใช้สมาธิ (Concentration Management) นักเรียนและนักศึกษาได้รับการ สอนให้ใช้สมาธิฝึกตัวเองให้ผ่อนคลายความเครียด (Relax) และลดความกังวล (Anxiety) นอกจากนี้ยังสอนให้มีเป้าหมายเป็นความหวังว่าจะมีความสำเร็จ
2. แผ่นภาพเครือข่าย (Networking หรือ Mapping) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยนนักเรียนให้สามารถที่จะได้ความคิดรวบยอดและหลักการจากสิ่งที่ตนอ่าน และสามารถจะหาความสัมพันธ์และเชื่อมโยงได้ ความสัมพันธ์อาจจะเรียงจากลำดับขั้นสูงไปหาต่ำ ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องแร่ อาจจะเขียนเป็นเครือข่ายแดนเชอโรและคณะ (Dansereau et al, 1979) ได้ทำการทดลองใช้วิธีดังกล่าวกับนิสิตมหาวิทยาลัยโดยใช้เวลาฝึกหัดการใช้สมาธิและการสร้างเครือข่าย ปรากฎว่านิสิตที่อยู่ในกลุ่มทดลองสามารถทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการฝึกหัดระบบยุทธศาสตร์การเรียนรู้อย่างสมบูรณ์แบบ
สรุป ทฤษฎีวิธีช่วยความจำมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ และถ้าสอนให้นักเรียนหรือนักศึกษาสามารถที่จะใช้วิธีช่วยความจำ เพื่อที่จะแน่ใจว่าสิ่งที่สอนให้นักเรียนหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้นักเรียนได้รับการเข้ารหัสบันทึกในความจำระยะยาว และสามารถที่จะเรียกมาใช้ได้ตามความต้องการทุกเวลา

สร้างความสำเร็จในการทำงาน...ด้วยตัวคุณเอง


สร้างความสำเร็จในการทำงาน...ด้วยตัวคุณเอง
ข้อมูลจาก : อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
          เชื่อว่าเมื่อคนทุกคนก้าวเข้าสู่ช่วงวัยของการทำงานแล้ว..แต่ละคนย่อมมีความต้องการและความคาดหวังให้งานของตนประสบผลสำเร็จ โดยจะมีแนวทางและวิธีการในการสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบเอาใจและหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจจากหัวหน้างาน เพราะคิดว่าหัวหน้างานสามารถสนับสนุนความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้กับตนเองได้ แต่บางคนประสบความสำเร็จได้จากการสนับสนุนของทีมงานโดยพยายามทำทุกวิถีทางให้สมาชิกในทีมรักใคร่..เพื่อว่าจะได้สนับสนุนให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามที่มุ่งหวังไว้ สำหรับบางคนเชื่อไสยศาสตร์ อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย… และก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่มีความต้องการและความมุ่งหวังที่จะให้หน้าที่การงานของตนประสบความสำเร็จด้วยความสามารถและฝีมือของตัวเอง
ความสำเร็จด้วยฝีมือของเราเองจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ดังนั้นในส่วนนี้จึงขอนำเสนอเทคนิคและวิธีการเพื่อการสร้างความสำเร็จในการทำงานด้วยตัวคุณเองตามหลักการง่าย ๆ ของ " D-E-V-E-L-O-P " ดังนี้
DDevelopmentไม่หยุดยั้งการพัฒนา
EEnduranceมุ่งเน้นความอดทน
VVersatileหลากหลายความสามารถ
EEnergetic
กระตือรือร้นอยู่เสมอ
LLoveรักงานที่ทำ
OOrganizingจัดการเป็นเลิศ
PPositive Thinkingคิดแต่ทางบวก

Development : ไม่หยุดยั้งการพัฒนา
        ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้จะต้องเป็นคนที่มีหัวใจของการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกลักษณะ พฤติกรรม หรือแม้แต่วิธีการทำงาน โดยต้องเป็นผู้ที่มีการสำรวจและประเมินความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา คอยตรวสอบว่าเรามีจุดแข็งและจุดบกพร่องในด้านใดบ้างและพยายามที่จะหาทางพัฒนาจุดแข็งและปรับปรุงจุดบกพร่องของตนให้ดีขึ้น เช่น ถ้าไม่เก่งภาอังกฤษ..ซึ่งจำเป็นต้องนำมาใช้ในการทำงาน..ก็ควรขวนขวายหาโอกาสที่จะเรียนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังต้องเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับวิธีการหรือขั้นตอนการทำงานแบบเดิม ๆ โดยควรจะหาเทคนิคและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการทำงานของตนเองให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ

Endurance : มุ่งเน้นความอดทน
        ความอดทนเป็นพลังของความสำเร็จ…อดทนต่อคำพูด อดทนต่อพฤติกรรมการดูหมิ่นหรือสบประมาท อดทนต่อความเครียดในการทำงาน…คนบางคนลาออกจากที่ทำงานเพราะเจอหัวหน้างานพูดจารุนแรง หรือเพียงแค่ถูกต่อว่าต่อหน้าที่ประชุมเท่านั้น…คุณรู้ไหมว่าการลาออกจากงานบ่อย ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเวลาคุณไปสมัครงานที่ไหนเค้าอาจจะมองว่าคุณเป็นคนไม่มีความอดทนเลยก็เป็นได้ (เสียประวัติการทำงานของคุณเอง) หากคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือไม่ปรารถนา ขอเพียงแต่ให้คุณมีความอดทนและอดกลั้นเข้าไว้ แล้วคุณจะสามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้สำเร็จ

Versatile : หลากหลายความสามารถ

        หลาย ๆ องค์กรย่อมต้องการคนที่มีความรู้ และความสามารถให้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้น…ขอให้ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณอยากได้คนที่สามารถทำงานได้หลาย ๆ อย่าง หรือ ทำได้เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง…แน่นอนคุณคงต้องการได้คนที่มีความสามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่ได้รับมอบหมายพิเศษ…ซึ่งบางคนที่หลีกเลี่ยงงาน กลัวว่าจะต้องทำงานมากกว่าคนอื่น ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบ ไม่เคยอาสาที่จะทำงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ…แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีทางที่จะได้รับความก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้เลย…ดีไม่ดีกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเป็นกลุ่มคนแรกที่ถูกพิจารณาให้ Lay Off ก่อนก็เป็นได้ (หากองค์กรต้องเผชิญกับสภาวะการเงินที่ถดถอย)
Energetic : กระตือรือร้นอยู่เสมอ
        ความสำเร็จต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ถ้าคุณมีความกระตือรือร้น และมีความตื่นตัวที่จะแสวงความรู้ใหม่ ๆ การรับฟังข้อมูลข่าวสาร ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้ประสบผลสำเร็จ โดยส่วนใหญ่คนที่มีความกระตือรือร้นจะเป็นคนที่ชอบลองผิดลองถูก มาทำงานก่อนเวลาเสมอเพื่อหาโอกาสค้นคว้าข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติม พยายามที่จะให้งานเสร็จก่อนหรือตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งแตกต่างจากคนที่ขาดความกระตือรือร้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่อยากให้วันทำงานมาถึง รอคอยเวลาเลิกงานหรือเสร็จสิ้นสัปดาห์การทำงาน ทำงานเฉื่อย ไม่สนใจรับฟังข้อมูลข่าวสารใด ๆ เลย ขอเพียงให้งานของตนเองเสร็จเท่านั้นเพื่อที่จะได้กลับบ้านหรือไปที่ไหน ๆ ตามที่ใจปรารถนา….ซึ่งทำนายได้เลยว่า บุคคลเหล่านั้นไม่มีทางหรือมีโอกาสน้อยมากในการได้รับความสำเร็จและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน

Love : รักงานที่ทำ
        ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่า “คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำอยู่ได้” พบว่าในยุคสมัยนี้การเลือกงานที่รักมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าการที่จะเลือกรักงานที่ทำ ดังนั้น “หากคุณไม่สามารถเลือกงานที่รักได้ คุณก็ควรเลือกที่จะรักงานที่คุณทำ” เพราะความรู้สึกนี้เองจะส่งผลให้คุณมีความสุขกับงานของคุณ..ขอให้คุณลองถามตัวเองว่าคุณรักงานที่ทำอยู่หรือไม่ แล้วคุณมีพฤติกรรมอย่างไรหากคุณมีความรู้สึกว่าคุณไม่รักงานที่ทำอยู่เลย และผลงานที่เกิดขึ้นของคุณเป็นอย่างไรบ้าง..บางคนเบื่อหน่ายกับชีวิต..ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม…ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งย่อมแน่นอนว่าคุณคงไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของคุณเลย…พื้นฐานของความสำเร็จอยู่ที่ความรักในสิ่งนั้น เมื่อคุณมีความรัก คุณจะมีความสุขกับงานที่ทำ ซึ่งจะทำให้คุณพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าของงานที่ทำอยู่ตลอดเวลา และนั่นจะส่งผลให้คุณรู้จักวางแผนชีวิตและเป้าหมายความสำเร็จในการทำงานของคุณ

Organizing : จัดการเป็นเลิศ
        การจัดการงานที่ดี จะทำให้คุณรู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนและหลังบ้าง สามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ การจัดการจะเป็นสิ่งผลักดันให้คุณต้องวางแผนและเป้าหมายการทำงานอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณเคยสำรวจตัวเองบ้างหรือไม่ว่า คุณมีความสับสนและไม่สามารถทำงานได้เสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้..ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าคุณขาดประสิทธิภาพในการจัดการงานของคุณ คุณไม่สามารถบริหารทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีให้เกิดประสิทธิผลได้

Positive Thinking : คิดแต่ทางบวก

        ความคิดทางบวกจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คุณมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจและพลังที่จะทำงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ประสบผลสำเร็จ คนที่มีความคิดทางบวกจะเป็นคนที่สนุกและมีความสุขกับงานที่ทำ แสวงหาโอกาสที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่นอยู่เสมอ…สำหรับผู้ที่มีความคิดในด้านลบอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหา ชอบโทษตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ ขาดความคิดที่จะพัฒนาตนเองและงานที่ทำ…ในที่สุดผลงานที่ได้รับย่อมขาด ประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คุณควรประยุกต์ใช้หลักของการ “D-E-V-E-L-O-P“ (ไม่หยุดยั้งการพัฒนา มุ่งเน้นความอดทน หลากหลายความสามารถ กระตือรือร้นอยู่เสมอ รักงานที่ทำ จัดการเป็นเลิศ คิดแต่ทางบวก) กล่าวโดยรวมก็คือ พัฒนาตนเองอยู่เสมอทั้งในด้านความคิด ความรู้ จิตใจ และการกระทำของตัวคุณ และนั่นเองจะส่งผลให้คุณมีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างที่ตั้งใจและมุ่งหวังไว้

ถ้าคุณคิดจะรัก

ถ้าจะรัก . . . ต้องยอมโยนเปลือกข้างนอกของเราออกไป
ต้องไม่ปลอมตัว ต้องไม่ใส่หน้ากาก

จริงๆ ไม่ต้องสวยงามมาก
แต่ต้องมีตัวตนแท้ๆ ของเราฉายอยู่อย่างจริงใจ
ในทางกลับกัน . . . อย่าคาดหวังที่จะได้เจอคนที่สวยงามเกินจริง
เพราะโลกใบนี้ไม่มีให้หาอยู่แล้ว



แม้แต่กระดาษแผ่นเดียว ยังมีสองด้าน
แม้แต่มือของเรา ยังมีหน้าหลัง
แม้แต่หัวใจ ยังมีสี่ห้อง
แม้แต่ดวงตา ยังมีสองข้าง
แม้แต่หูของเรา ยังมีสองข้าง


เมื่อโลกนี้ มีสรรพสิ่งมากกว่าหนึ่งด้าน
เหมือนจะเตือนเราอยู่ในที ให้มองสรรพสิ่งอย่างชั่งใจ
ไตร่ตรองและมองทุกมุมที่มี
ดังนั้นความรักก็มีหลักคิดหลักเข้าใจเหมือนกัน


นานเท่าไร . . .
เรื่องของความรักก็เป็นเรื่องซ้ำๆ ไม่เคยเปลี่ยน
ผ่านมากี่ชั่วอายุคนก็ยังมีน้ำตาให้เห็น . . . มีเสียงหัวเราะให้เชยชม
มีรักสามเส้า สี่เส้า เป็นเรื่องธรรมดา



เธอต้องถอยหลังออกมา และมองสรรพสิ่งด้วยความเข้าใจ
มองไม่ต้องทุกด้านที่มีก็ได้

แต่มองมากกว่าด้านเดียว ที่เธออยากจะมองด้วย
มองเรื่องที่เธอไม่อยากจะเจอ ไม่อยากจะพบด้วย



เธอไม่จำเป็นต้องเจอสิ่งดีดีในชีวิตเสมอ
แต่ถ้าเธอเข้าใจสิ่งร้ายๆ ที่ผ่านมาในชีวิตบ้าง มีสติ ก็พอแล้ว
เมื่อยอมรับใครบางคน ในตัวตนและสิ่งที่เขาเป็น
คุณจะประหลาดใจ เมื่อเขาดีกว่าที่คุณคาดหวังไว้มาก

  

ถ้าคุณรักก็ต้องยอมรับ ทั้งข้อดีและข้อเสียของเขาได้
คุณจะได้รับรู้ว่าคนๆ หนึ่งมีความหมายกับคุณมากเพียงไร
ก็เมื่อคุณตื่นขึ้นและพบว่า คุณได้สูญเสียใครคนนั้น
ที่คุณเคยคิดว่า . . . ไม่มีความหมายกับคุณเลย ไปเสียแล้ว


สำหรับสิ่งที่คุณอาจจะคิดหลบหนี แต่หัวใจคุณเก็บมันไว้ตลอดเวลา
การปล่อยมันไปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะเหนี่ยวรั้งไว้ก็ยากเย็น
ความเข้มแข็งไม่ได้วัดที่ว่า สามารถเหนี่ยวรั้งมันไว้
แต่อยู่ที่สามารถปล่อยมันไปต่างหาก



ผู้ชายพร้อมที่จะเสียสละความรัก เพื่อจะได้ปกครองโลก
แต่ผู้หญิงพร้อมที่จะตัดใจจากโลก  . . . เพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่มีค่าพอให้เสียสละ
มันปวดใจเมื่อได้เห็นคนที่คุณรัก มีความสุขอยู่กับคนอื่น
แต่มันจะเจ็บปวดกว่า ที่ได้รู้ว่าเขาไม่มีความสุขเลยเมื่ออยู่กับคุณ



ความรัก ไม่จำเป็นต้องตามหา ถึงเวลามันก็มาเอง
ถ้ายิ่งตามก็ยิ่งหาไม่เจอ
ถ้าหากคุณกระหายอยากจะเจอ คุณก็อาจกลายเป็นคนที่มีคุณค่าลดลง
และถ้าหากวันที่ตัวจริง ซึ่งเป็นคนที่ใช่ ของคุณปรากฎแล้ว

คุณอาจเสียเขาไป เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าที่ควรจะมีจากคุณ
เพราะคุณได้แจกให้คนใครต่อใครหลายคน จนแทบจะไม่มีแล้ว . . .
ข้อมูลจาก saranair.com
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com

ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์



เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า 4 S special ดังนี้
1. หน่วยเก็บ (Storage)

หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็น
จุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย

2. ความเร็ว (Speed)

หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) 
โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด 
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน

3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น
4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน